ได้ฤกษ์ระเบิดแข้งเปิดสนามกันแล้วในค่ำคืนวันที่ 10 มิถุนายน 2016 สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (European Football Championship) หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ยูโร 2016 ซึ่งครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 15 โดยประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ฟุตบอลยูโรเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1960 และจัดการแข่งขันขึ้นทุกๆ 4 ปี เรามาย้อนรอยดูทำเนียบแชมป์และเหตุการณ์สำคัญในแต่ละครั้งกัน...
ครั้งที่ 1 : ปี 1960
เจ้าภาพ : ฝรั่งเศส
แชมป์ : สหภาพโซเวียต
ปฐมบทของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (European Football Championship) แรกเริ่มเดิมทีเรียกการแข่งขันนี้ว่า "ยูโรเปียน เนชันส์ คัพ" จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส มีเพียง 4 ชาติเข้าร่วมชิงชัยคือ สหภาพโซเวียต, ฝรั่งเศส, เชกโกสโลวาเกีย และยูโกสลาเวีย ในรอบชิงชนะเลิศเป็นการเจอกันระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย ซึ่ง วิกเตอร์ โปเนเดลลิก เป็นผู้ซัดประตูชัยทำให้โซเวียตชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 เป็นชาติแรกที่ได้แชมป์ยูโรไปครอง
ครั้งที่ 2 : ปี 1964
เจ้าภาพ : สเปน
แชมป์ : สเปน
4 ปีต่อมา สเปนเป็นเจ้าภาพ มี 29 ชาติเข้าร่วมชิงชัย และในรอบชิงเจ้าภาพกระทิงดุก็หวดไปเอาชนะโซเวียตแชมป์เก่าไป 2-1 ประตู
ครั้งที่ 3 : ปี 1968
เจ้าภาพ : อิตาลี
แชมป์ : อิตาลี
ทัพอัซซูรีเก่งบวกเฮงพกดวงมาเต็มกระเป๋า เมื่อเสมอกับสหภาพโซเวียตในรอบรองชนะเลิศ 0-0 ในยุคนั้นยังไม่มีโกลเด้นโกล ซิลเวอร์โกล ยิงจุดโทษ เลยวัดดวงกันด้วยการโยนเหรียญทายหัว-ก้อย อิตาลีเลือกหัว โซเวียตเลือกก้อย โป๊ะเชะ!! ออกหัว อิตาลีเลยได้เข้าไปชิงกับยูโกสลาเวีย และคว้าแชมป์เอาถ้วยยูโรไปนอนกอดได้ด้วยสกอร์ 2-1 (แอบคิด ถ้านัดชิงเสมอกันจะตัดสินแชมป์ด้วยการโยนหัว-ก้อยหรือเปล่า?)
ครั้งที่ 4 : ปี 1972
เจ้าภาพ : เบลเยียม
แชมป์ : เยอรมันตะวันตก
ทีมอินทรีเหล็กกางปีกผงาดซัดโซเวียตไป 3-0 ทำให้เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์ไปครอง
ครั้งที่ 5 : ปี 1976
เจ้าภาพ : ยูโกสลาเวีย
แชมป์ : เชโกสโลวาเกีย
ในครั้งที่ 5 นี้เรียกว่าหฤโหดทีเดียว เมื่อในรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 คู่ต่างก็ต้องต่อเวลาการแข่งขันเพื่อหาผู้ชนะ และผลก็คือเชโกสโลวาเกียชนะฮอลแลนด์ 3-1 เข้าไปชิงกับเยอรมันที่ชนะเจ้าภาพยูโกสโลวาเกีย 4-2 แล้วก็เป็นเชโกฯได้เฮกันทั้งประเทศเมื่อ อูลี เฮอเนส ของเยอรมันพลาดจุดโทษทำให้เชโกสโลวาเกียชนะจุดโทษไป 5-3 (เสมอในเวลา 2-2)
ครั้งที่ 6 : ปี 1980
เจ้าภาพ : อิตาลี
แชมป์ : เยอรมันตะวันตก
อิตาลีกลับมาเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง ซึ่งในปีนี้มีการเปลี่ยนระบบโดย 8 ทีมสุดท้ายจะผ่านเข้ารอบไปอิตาลีจะแบ่งออกเป็น 2 สาย แข่งแบบพบกันหมด ทีมที่มีคะแนนสูงสุดถึงจะได้ผ่านเข้าไปแข่งรอบสุดท้าย และก็เป็นทัพอินทรีเหล็กกางปีผงาดคว้าแชมป์อีกสมัยโดยเอาชนะม้ามืดอย่างเบลเยียมไป 2-1 ประตู
ครั้งที่ 7 : ปี 1984
เจ้าภาพ : ฝรั่งเศส
แชมป์ : ฝรั่งเศส
ทีมตราไก่มีสี่ทหารเสือ มิเชล พลาตินี, ฌอง ติกานา, อแลง กิเรสและหลุยส์ เฟอร์นานเดซ นำทัพลงปราบกระทิงจากสเปนไปด้วยสกอร์ 2-0 คว้าแชมป์ยูโรเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ สำหรับปีนี้ได้ยกเลิกการแข่งขันชิงที่ 3 และยกเลิกทีมอันดับ 3 ออกจากรายการด้วย
ครั้งที่ 8 : ปี 1988
เจ้าภาพ : เยอรมันตะวันตก
แชมป์ : เนเธอร์แลนด์ (ฮอลแลนด์)
รอบรองชนะเลิศระหว่างฮอลแลนด์-เยอรมัน มาร์โก แวน บาสเทน คว่ำถังเบียร์ด้วยการทำแฮททริค เข้าไปชิงชนะเลิศกับสหภาพโซเวียต และสามดาวดัง รุด กุลลิต, มาร์โก แวน บาสเทนและแฟรงก์ ไรจ์การ์ด ก็นำทีมอัศวินสีส้มสร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่คว้าแชมป์มาได้สำเร็จด้วยการเอาชนะโซเวียตไป 2-0 ประตู
ครั้งที่ 9 : ปี 1992
เจ้าภาพ : สวีเดน
แชมป์ : เดนมาร์ก
พลิกล็อคกันน่าดู ถล่มทลาย เมื่อม้ามืดอย่างเดนมาร์กเขี่ยฮอลแลนด์แชมป์เก่าตกรอบรองฯ เข้าไปชิงชัยกับอินทรีเหล็กเยอรมัน แชมป์ฟุตบอลโลกหมาดๆ (world cup 1990) แล้วทีมโคนมก็หักปากกาเซียนอีกรอบด้วยการหักปีกอินทรีไปด้วยสกอร์ 2-0 ทะยานขึ้นบัลลังก์แชมป์อย่างสง่างาม ทั้งนี้ต้องยกความดีให้กับ ปีเตอร์ ชไมเคิล ที่ได้รับตำแหน่งผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของโลกในปีนั้นด้วย
ครั้งที่ 10 : ปี 1996
เจ้าภาพ : อังกฤษ
แชมป์ : เยอรมนี
เนื่องจากปีนี้มีชาติยุโรปต้องการส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันถึง 48 ทีม ฟีฟ่าจึงได้เพิ่มโควต้ารอบสุดท้ายเป็น 16 ทีม แบ่งออกเป็น 4 สาย ทีมที่มีคะแนนที่หนึ่งและที่สองของแต่ละสายจะได้เข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยใช้ระบบแพ้คัดออก นอกจากนี้ยังเป็นปีแรกที่ใช้ระบบ "โกลเด้นโกล" และหลังจากปีกหักยับเยินไปเมื่อ 4 ปีก่อน ครั้งนี้อินทรีเหล็กกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยการดวลจุดโทษชนะอังกฤษเจ้าภาพตกรอบรองฯ แล้วเข้าไปเอาชนะสาธารณรัฐเชกในรอบชิงด้วยกฎโกลเด้นโกล...
ครั้งที่ 11 : ปี 2000
เจ้าภาพ : เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์
แชมป์ : ฝรั่งเศส
ยูโร 2000 เป็นครั้งแรกที่มีสองประเทศจับมือเป็นเจ้าภาพร่วมกัน และก็เป็นฝรั่งเศสที่คว้าแชมป์สมัยที่ 2 ไปครองหลังจากส่ง ดาวิด เทรเซเกต์ ตัวสำรองซูเปอร์ซับลงมาซัดประตูโกลเด้นโกล 2-1 ดับฝันขุนพลอัซซูรีไปอย่างเลือดเย็นในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ครั้งที่ 12 : ปี 2004
เจ้าภาพ : โปรตุเกส
แชมป์ : กรีซ
นอกจากยูโร 2004 จะยกเลิกกฎโกลเด้นโกลออกไปแล้วใช้กฎซิลเวอร์โกลแทนแล้ว ปีนี้ยังเป็นที่ถูกพูดถึงและอยู่ในความทรงจำของคอบอลมากที่สุดอีกปีหนึ่ง เริ่มจากทีมสมันน้อยกรีซเอาชนะเจ้าภาพโปรตุเกสเก็บ 3 แต้มไปก่อนในนัดแรกเปิดสนาม ด้วยเทคนิคตั้งรับรอสวนกลับพาเทพเจ้ากรีซมาถึงรอบรองชนะเลิศและสอยสาธารณรัฐเชกตกรอบไปด้วยกฎซิลเวอร์โกล ลิ่วเข้าไปเจอกับโปรตุเกสอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ แล้วค่ำคืนมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น อันเกลอส ชาริสเตอัส โขกลูกเข้าประตูทีมฝอยทอง ลูกโหม่งเพียงลูกเดียวนั้นสร้างรอยช้ำเป็นหนที่สองและยังปลิดชีพเจ้าภาพคาบ้านอีกด้วย กรีซขึ้นบัลลังก์แชมป์ยูโรอย่างสง่างาม และสร้างตำนานเทพนิยายกรีกให้แฟนบอลทั่วโลกได้จดจำ
ครั้งที่ 13 : ปี 2008
เจ้าภาพ : ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์
แชมป์ : สเปน
เป็นอีกครั้งที่มีสองประเทศเป็นเจ้าภาพร่วม ปีนี้กระทิงสเปนกลับมาดุอีกครั้งขวิดอินทรีเหล็กไปด้วยสกอร์ 1-0 จากปลายเท้า เฟอร์นานโด ตอร์เรส คว้าแชมป์ไปอีกสมัย
ครั้งที่ 14 : ปี 2012
เจ้าภาพ : โปแลนด์และยูเครน
แชมป์ : สเปน
ยูโร 2012 เป็นปีสุดท้ายที่จะมีทีมเข้าร่วมโม่แข้งรอบสุดท้าย 16 ทีม (ยูโร 2016 เพิ่มเป็น 24 ทีม) ในช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของทีมกระทิงดุที่เดินสายคว้าแชมป์เป็นว่าเล่น หลังจากได้แชมป์ยูโร 2008 แล้ว ปี 2010 ก็ไปคว้าแชมป์โลกที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ และกลับมารักษาแชมป์ยูโรได้อีกในปีนี้ด้วยการฝังอัซซูรีอิตาลีที่รักไป 4-0 คาสนามกีฬาโอลิมปิกแห่งชาติเคียฟ T_T (ร้องไห้หนักมาก)
ครั้งที่ 15 : ปี 2016
เจ้าภาพ : ฝรั่งเศส
แชมป์ : ????
ยูโร 2016 แชมป์จะเป็นทีมไหน จะมีเหตุการณ์ใดถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์อีกบ้าง ต้องตามลุ้นตามเชียร์กัน รักทีมไหนส่งใจไปให้สุดกำลัง....
กฎโกเด้นโกล (golden goal) คือ หากผลเสมอกันในช่วงเวลาปกติ (90 นาที) จะแข่งขันช่วงต่อเวลาพิเศษอีกครึ่งละ 15 นาที ทีมใดยิงประตูได้ก่อน ทีมนั้นจะเป็นผู้ชนะทันทีโดยไม่ต้องแข่งขันต่อ...ปัจจุบันกฎนี้ไม่ถูกใช้ในเกมการแข่งขันของฟีฟ่าอีกต่อไปแล้ว
กฎซิลเวอร์โกล (silver goal) คือ ในช่วงต่อเวลาพิเศษหากมีทีมใดทำประตูได้ไม่ว่าจะครึ่งแรกหรือครึ่งหลังก็ให้แข่งต่อไปจนกว่าจะหมดเวลา
ข้อมูล : wikipedia
รูปภาพ : http://www.uefa.com
http://www.soccertours.net